9 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ “คลังสินค้าห้องเย็น” ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ

คลังสินค้าห้องเย็น หรือ Cold Storage คือ คลังสินค้าควบคุมคุมอุณหภูมิให้เหมาะกับการจัดเก็บสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น อาหาร ผักผลไม้ ไอศกรีม ยา เครื่องสำอาง เป็นต้น การควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม มีผลต่อการชะลอการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ช่วยลดอัตราการเกิดปฎิกิริยาเคมีในอาหาร ทำให้อาหารต่างๆ เกิดการเน่าเสียช้าลง สามารถเก็บรักษาได้นานมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันผู้ให้บริการคลังสินค้าห้องเย็นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทั้งจากการบริโภคภายในประเทศและการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับส่งออก

วันนี้เราจะมาสรุปให้ฟังว่าผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้คลังสินค้าห้องเย็น ควรดูที่ปัจจัยอะไรบ้าง

  1.  ทำเลที่ตั้งของคลังห้องเย็นที่ต้องการใช้บริการ ควรตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานผลิต หรือใกล้กับฮับกระจายสินค้า เพื่อลดระยะเวลาการขนส่ง และช่วยประหยัดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์
  2. อุณหภูมิที่คลังสินค้าห้องเย็นสามารถรองรับได้และเหมาะสมกับสินค้าของคุณ เนื่องจากสินค้าแต่ละประเภทต้องจัดเก็บในอุณหภูมิที่ต่างกัน เพื่อรักษาคุณภาพสินค้าให้ดีที่สุด ยกตัวอย่าง อุณหภูมิ -40 องศา เหมาะสำหรับ แช่แข็งสินค้าประเภทเนื้อสด อุณหภูมิ -20 องศา เหมาะสำหรับสินค้าทั่วไปที่ผ่านการแช่แข็งมาแล้ว เช่น ปลา ไก่ หมู อุณหภูมิ 0-5 องศา เหมาะสำหรับผลไม้สด ถั่ว ชีสประเภทต่างๆ อุณหภูมิ 12-15 องศา เหมาะสำหรับไวน์ และอุณหภูมิ 20-25 องศา เหมาะสำหรับ แป้ง ข้าวสาร หรือ เครื่องสำอาง เป็นต้น
  3. ระบบเทคโนโลยีในการจัดเก็บสินค้า ปัจจุบันมีเทคโนโลยีระบบจัดเก็บสินค้าแบบอัตโนมัติ หรือ Automated Storage Retrieval System (ASRS) ที่มีจุดเด่นคือสามารถจัดเก็บสินค้าได้อย่างรวดเร็ว มีความแม่นยำ และปลอดภัยสูง ช่วยประหยัดทั้งพลังงานไฟฟ้า และแรงงานคนได้ไม่น้อยกว่า 30-50% เมื่อเทียบกับการใช้ระบบแมนนวลแบบเดิม ที่สำคัญสามารถคงความสดใหม่และรักษาคุณภาพของสินค้าได้ดีกว่าเดิ มอีกด้วย
  4. มาตรฐานต่างๆ ของคลังห้องเย็นได้ที่ได้รับการรับรอง สินค้าที่จัดเก็บในห้องเย็นส่วนมากอยู่ในกลุ่มอาหาร ซึ่งมีมาตรฐานการจัดเก็บที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร ทั้งนี้เรื่องของการจัดเก็บที่ถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย และปราศจากการปนเปื้อนถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้น ในการเลือกผู้ให้บริการควรคำนึงถึงมาตรฐานการรับรองต่างๆ จากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ได้ ISO, Halal, GMP, EST, HACCP เป็นต้น
  5. การมีเขตปลอดอากรในพื้นที่คลังห้องเย็น ถือเป็นอีกหนึ่งสิทธิประโยชน์ที่ผู้เลือกใช้บริการไม่ควรมองข้าม สามารถเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ด้านการบริหารจัดการภาษี ไม่รวมสิทธิประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องมีการนำเขาและส่งออก
  6. ระบบซอฟต์แวร์ในการบริการจัดการสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ ทำให้ลูกค้าสามารถเช็คสถานะของสินค้าได้ถูกต้องและแม่นยำตลอด 24 ชม.
  7. มีบริการเสริมต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้จัดเก็บสินค้า เช่น บริการคัดแยก บรรจุ ผลิต ผสม ประกอบ ฟรีซ ติดฉลากบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
  8. มีบริการรถขนส่งและกระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิภายในประเทศ และขนส่งสินค้าข้ามแดน (Cross Border) ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ
  9. มีการบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็นแบบยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชนโดยรอบพื้นที่

การเลือกคลังสินค้าห้องเย็นที่ได้มาตรฐานและเหมาะสมสำหรับธุรกิจ ช่วยในเรื่องการบริหารจัดการสต๊อกสินค้า ไม่ต้องนำเข้าอาหารหรือวัตถุดิบต่างๆในปริมาณที่น้อยเกินไปเพราะกังวลเรื่องของการเน่าเสีย แต่สามารถนำเข้าสินค้าในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อความคุ้มทุนและคุ้มค่าในการประกอบธุรกิจ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการคลังสินค้าห้องเย็น JWD  ให้บริการห้องเย็นสาธารณะรายใหญ่ที่สุดในประเทศ รองรับปริมาณการจัดเก็บมากที่สุดในประเทศถึง 100,000 ตัน ครอบคลุม 3 ทำเลยุทธศาสตร์หลัก ทำเลมหาชัยสำหรับรองรับอุตสาหกรรมประมง ทำเลสุวินทวงศ์สำหรับรองรับโรงงานแปรรูปอาหาร และทำเลบางนา-ตราดสำหรับรองรับตลาดฟู้ดรีเทล